บันทึกการเรียนครั้งที่ 10
วัน พุธ ที่ 15 เดือน มีนาคม ปี 2560 เวลาเรียน 08:30 - 12:30น
ความรู้ที่ได้รับ
การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
รูปแบบการจัดการศึกษา
• การศึกษาปกติทั่วไป
(Regular
Education)
• การศึกษาพิเศษ
(Special
Education)
• การศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated
Education หรือ Mainstreaming)
• การศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive
Education)
การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
• เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม
• การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป
• มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน
• ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน
• ครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือกัน
การเรียนร่วมบางเวลา
(Integration)
• การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา
• เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก
และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ
• เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก
จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้
การเรียนร่วมเต็มเวลา
(Mainstreaming)
• การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน
• เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ
• มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กเข้าใจซึ่งกันและกัน
ตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
• เด็กปกติจะยอมรับความหลากหลายของมนุษย์
เข้าใจว่าคนเราเกิดมาไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง ท่ามกลางความแตกต่างกัน
มนุษย์เราต้องการความรัก ความสนใจ ความเอาใจใส่เช่นเดียวกันทุกคน
ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
(Inclusive
Education)
• การศึกษาสำหรับทุกคน
• รับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา
• จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
Wilson
, 2007
• การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน
(Inclusion)เป็นหลัก
• การสอนที่ดี
เป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน
• กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี
(Good Teaching)
ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาหนทางให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้
• เป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆ
ทาง
สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
• เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ
โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน
ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
• เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
• เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า
การศึกษาสำหรับทุกคน (Education for All)
• การเรียนรวม
เป็นแนวคิดทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปกติ
หรือเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
• เด็กเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก
• เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพาเข้ามาโรงเรียนทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้
และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ “รวมกัน”
ที่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน
• ทุกคนยอมรับว่ามี
ผู้พิการ
อยู่ในสังคมและเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับคนปกติ
โดยไม่มีการแบ่งแยก
ความสำคัญของการศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
• ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้
• “สอนได้”
• เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด
บทบาทครูปฐมวัยในห้องเรียนรวม
ครูไม่ควรวินิจฉัย
• การวินิจฉัย
หมายถึงการตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง
• จากอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้
ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก
• เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
• ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป
• เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ
• พ่อแม่ของเด็กพิเศษ
มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
• พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
• ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก
แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
• ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง
เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้
• ครูช่วยให้ผู้ปกครองมีความหวังและเห็นแนวทางที่จะช่วยให้เด็กพัฒนา
ครูทำอะไรบ้าง
• ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ
• ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย
• สังเกตเด็กอย่างมีระบบ
• จดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ
สังเกตอย่างมีระบบ
• ไม่มีใครสามารถสังเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู
• ครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆ
ช่วงเวลายาวนานกว่า
• ต่างจากแพทย์
นักจิตวิทยา นักคลินิก มักมุ่งความสนใจอยู่ที่ปัญหา
การตรวจสอบ
• จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร
• เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น
• บอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ
ข้อควรระวังในการปฏิบัติ
• ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้
• ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้
• พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป
การบันทึกการสังเกต
• การนับอย่างง่ายๆ
• การบันทึกต่อเนื่อง
• การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
การนับอย่างง่ายๆ
• นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม
• กี่ครั้งในแต่ละวัน
กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง
• ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม
การบันทึกต่อเนื่อง
• ให้รายละเอียดได้มาก
• เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง
หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
• โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ
น้อง____ อายุ____ขวบ
บันทึกวันที่____
กิจกรรม____
บันทึกวันที่____
กิจกรรม____
การบันทึกเป็นคำๆ
น้อง ____ อายุ
____ ขวบ
บันทึกวันที่____
ช่วงเวลา ____
คำพูดเด็ก
การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
• บันทึกลงบัตรเล็กๆ
• เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง
• ด.ญ.______
• อายุ____ขวบ
• บันทึกวันที่26 มกราคม2558
• ช่วงเวลา
กิจกรรมกลางแจ้ง
การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป
• ควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่อง
มากกว่าชนิดองความบกพร่อง
• พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด็กทุกคน
ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ
การตัดสินใจ
• ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง
• พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้น
ไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่
กิจกรรมในห้องเรียน
ช่อแก้ว Super 10 สร้างกำลังใจได้ด้วยเสียง "ดนตรี" | ซูเปอร์เท็น
การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
- ความเข้าใจและการแสดงออกในหน้าที่ของครูที่ดีที่มีต่อเด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคน และเปิดโอกาสให้เด็กๆสามารถเรียนรู้และพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
ผลการประเมิน
การประเมินตนเอง
- เข้าเรียนตรงเวลา
- มีความคิดที่เปลี่ยนไปและเข้าใจในตัวของเด็กๆที่มีความต้องการพิเษศมากขึ้น
- มีความคิดที่เปลี่ยนไปและเข้าใจในตัวของเด็กๆที่มีความต้องการพิเษศมากขึ้น
การประเมินเพื่อน
-เพื่อนๆตั้งใจเรียน
การประเมินอาจารย์
- อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา
- สื่อการสอนของอาจารย์น่าสนใจมาก
- อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา
- สื่อการสอนของอาจารย์น่าสนใจมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น